0186
4/10/45 .. ตามสนองซะแล้ว
แสดงทั้งหมด

5/10/45 .. ขายตรง -- หรือขายอ้อมค้อม ??ตอบ: 1, อ่าน: 1932

ติดเอาไว้นานแล้วว่าจะเล่าเรื่องธุรกิจขายตรง
... ตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนที่น้องรหัสคนที่ไม่เคยติดต่อมาเมื่อไม่มีเรื่องเดือดร้อน ดันโทรมาหา
และที่แท้ก็ต้องการจะให้ผมไปสมัครขายตรง นั่นเอง
... พอดีนึกได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องนี้ลงในเว็บบอร์ดเมื่อต้นปีที่แล้ว
ช่วงที่กำลังบูมในหมู่นิสิตคณะเรา
ได้โอกาสก๊อปปี้มาซะเลย
มาถึงวันนี้ วันที่เริ่มมีธุกิจหลากหลายขึ้น
ผมก็เลยสบาย ไม่ต้องเขียนใหม่แล้ว : ]

มีทั้งเจ้าเดิม อะไรเวย์ๆ ที่ชอบโจมตีสินค้าคนอื่น
เจ้าที่สอง อะไรฟารีนๆ ที่เน้นเครื่องสำอาง และโฆษณาทีวี
แถมด้วยขายน้ำลูกยอ ก็ยังมี
และก็มีระบบหนึ่งต่อสอง อะไรของมันอีกเจ้าไม่รู้
นอกจากนั้นอาจจะมีอีกเยอะ ผมก็ไม่ได้ติดตามซะด้วยสิ
ขี้เกียจฟังคนพรรณนาโวหาร ตาลุกวาวเป็นประกาย
... ขายตรงอะไรวะ มาถึงก็พูดเอาๆๆ อ้อมค้อมสุดชีวิต
ชักแม่น้ำทั้งห้ามารวมกัน ปากเปียกปากแฉะเป็นชั่วโมง
แล้วมาบอกว่าขายตรง.. มันแทบไม่ได้ขายของด้วยซ้ำ..
ไว้วันหลังถ้าผมเจออะไรแปลกๆ จะเอามาเล่าเพิ่มละกันครับ




-- เว็บบอร์ด สาธิตปทุมวันรุ่น 41 --
-- ตั้งกระทู้ 24 ม.ค. 44 --
-- โดย นวย --


วันนี้ได้โอกาสนั่งคุยกับเพื่อนคนนึง
ที่ทำธุรกิจอะไรเวย์ๆ ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว
ทำให้เราได้อะไรมาเยอะจนต้องเอามาเขียนไว้ในในี้อ่ะ...


จากการสนทนายาวประมาณ 3 ช.ม. เมื่อครู่นี้
(ซึ่งเราก็ออกตัวไว้แล้วว่าพูดยังไงเราก็ไม่ทำนะ
แต่เขาคนนี้ก็ยังพูดแบบที่เตี๊ยมมา
เช่นเดียวกับที่พูดให้คนทั่วๆ ไปฟัง)
และจากการคุยกันแบบแลกเปลี่ยนความเห็นประสาเพื่อนจริงๆ
ก็ทำให้เราได้รู้ความจริงว่าธุรกิจนี้มันเป็นยังไง ...
ขายตรง ?? กระบวนการลูกโซ่ ?? พูดชักจูงให้หลงเชื่องมงาย ??
เอาความฝันและอนาคตที่มั่นคงมาปลุกระดมมวลชน ??
การตลาดแบบใหม่ ?? หรืออะไรกันแน่...


การสนทนาเริ่มด้วยการคลายข้อสงสัยที่เราติดใจมานาน
ไม่ว่าจะเป็น...

"เค้าเอาเงินมาจากไหนให้พวกเรา .. บางคนได้เป็นแสนๆ ต่อเดือน"

"แล้วคนที่ทำทีหลังไม่แย่เหรอ
ยังไงคนที่อยู่สูงกว่าเราก็ได้ยอดสินค้าของเราไปด้วย
เราก็ได้น้อยกว่าอยู่วันยังค่ำสิ"

"เราต้องมีเวลาขนาดไหนถึงจะทำได้ล่ะ ใครๆ ก็ทำกัน"

"สินค้าของเค้ามีทุกอย่างเลยเชียวหรือ
ได้ยินมาว่า ข้าวสารยังมีเลย เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยเอ้า
แล้วนี่เราก็ต้องใช้ทุกอย่างในบ้านเป็นยี่ห้อนี้หมดเลยสิ.."

"เค้ามีหลักเกณฑ์ยังไงมาแบ่งเงินให้เราล่ะ
ไม่ใช่เอาเปอร์เซ็นต์สินค้าของเรา
(ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เองหรือหลอกขายญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ไม่ใช่จากการขาย)
มาหักคืนเราเหรอ อย่างงี้ก็คล้ายกับไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยดิ"...


ทีนี้ลองมาฟังเค้าว่าตามที่เตี๊ยมมาซิ ว่าจริงๆ มันเป็นยังไง...
บอกไว้ก่อนว่าที่เรามานั่งเขียนนี่ไม่ได้มาหลอกให้สมัครนะ
เพราะเราไม่ได้ทำ และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเค้าเลย
(ถ้าได้ก็ดีดิ..)
แค่อยากเอามาแบ่งปันกันฟังเท่านั้นเอง...


เพื่อนคนนี้เล่าว่า เขาสมัครทำแอมเวย์เนี่ยนะ
ไม่ได้ขายของให้ใครหรอก แต่ก็มีทางรวยได้ในเวลาไม่นาน
เพราะเค้ามีแนวดังนี้ครับ...


... แต่ละเดือนเค้าจะซื้อของใช้อุปโภคบริโภคของบริษัทนี้ 1,000 บาท
ซึ่งเค้าจะมีรายได้หักจากส่วนนี้ 25% คือ 250 บาท
และแทนที่จะขายของ เค้ากลับแนะนำคนมาสมัครทำธุรกิจนี้เพิ่ม
(เป็นลูกสายของเค้า)
ซึ่งเค้าสมมติว่าเดือนแรกเค้าหาได้ 8 คน
(เป็นตัวเลขที่ผมว่าเยอะไปนะ)
แต่ละคนซื้อสินค้าคนละพันบาทเช่นกัน
เค้าจะมียอดสั่งสินค้าเดือนนี้ 9,000 บาท ถูกมั้ยครับ
ซึ่งในจำนวนเก้าพันนี้ ทุกคนจะได้ 250 บาทเหมือนกันหมด
แต่ว่าบริษัทเค้าจะพิจารณายอดรวมด้วย
ว่าเพื่อนผมสั่งสินค้าผ่านมือเค้ารวม 9,000 บาท
ก็จะได้เปอร์เซ็นต์ต่างหากอีกตามเรทที่บริษัทกำหนด
(เริ่มจาก 3000 ขึ้นไป ได้ 3%
5000 ได้ 5% และอื่นๆจนถึงสูงสุด 21%
ซึ่งจำไม่ได้ว่ายอดสั่งกี่แสนบาทต่อเดือน)


และเพียงแค่ทุกคนทำตามเค้า คือแนะนำเพิ่มอีกเดือนละ 8 คน
เดือนถัดไปเค้าจะมีรายได้ประมาณ 9000 บาท
(มีคนในสายเค้า รวม 1+8 = 9 คน)
เดือนที่ 3 จะมีรายได้ถึง 47,200 บาท เมื่อมีคนในสายรวม 1+8+64 = 73 คน
และทุกคนเพียงซื้อของใช้ส่วนตัวคนละ พันบาท
(ตัวเลขนี้ลองไปคิดดูละกันนะครับ แต่อาจคิดได้ไม่เท่านี้
เพราะบริษัทเค้าจะมียอดโบนัสเพิ่มอีกทีละ 0.25%
เมื่อได้ลูกค้าเพิ่มอีกกี่คนๆ เป็นต้น)


ผมเริ่มสนใจแล้ว
เออแค่ซื้อของใช้ไปวันๆ แค่นี้ก็ได้เดือนนึงหลายหมื่นแล้วเว้ย..
แต่มาติดอยู่ตรงไอ้แผนภาพที่เค้าลากในกระดาษให้ดูนี่แหละ
ทำไมมันดูมากผิดปกติวะ
... ที่แท้ก็ไอ้ตรง 1 คน ชวนได้ 8 คนเนี่ยแหละ
เลยแย้งว่า เฮ่ย เดือนละ 8 คนนี่มันจะทำได้เหรอ ...
เค้าตอบกลับมาว่า งั้นถ้าปีละ 8 คนล่ะ พอจะได้มั้ย...
ปีที่ 3 เราก็มีเงินเดือนละ 4 หมื่นกว่าอยู่ดี !! ...


เออจริงว่ะ ตอนนี้เถียงไม่ออกแล้ว
รู้สึกมันไม่ยากอย่างที่คิดนี่หว่า ...
ถามต่อไปว่า เฮ้ยถ้าเราไม่ซื้อของเลยล่ะ
แต่คนที่อยู่ใต้เราซื้อ เราก็ยังได้เงินมากอยู่ดีใช่มะ...
แต่เค้าคิดเลขให้ดูว่าจริงๆ แล้ว
ซื้อมากได้มาก ซื้อน้อยได้น้อย ไม่ซื้อไม่ได้เลย
เพราะเงินที่เราได้มาต้องเอาไปให้คนที่อยู่ใต้เราหมด
(อย่างเช้นถ้าทำยอดได้ 30000 แต่เราไม่ได้ซื้อของเลย
นั่นแปลว่าคนที่อยู่ใต้เราทุกคนก็ทำยอดรวมกัน 30000 น่ะแหละ
เงินที่ได้คือเราต้องแบ่งให้พวกนี้หมดอยู่ดี
นอกจากจะมีส่วนต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์
ซึ่งอันนี้ใครอยากรู้ไปคุยละเอียดกับพนักงานเอาละกัน)...


เอ๊ะรู้สึกเขียนยาวจังวันนี้... แต่ยังไม่จบนะ
เราจะพยายามเขียนย่อๆ โดยตัดคำอวดอ้างต่างๆ ออกไปละกัน ...
ต่อดีกว่า ได้เวลาไขข้อข้องใจแล้ว...


เค้าเอาเงินมาจากไหนที่แบ่งให้เรา ...
... ตอบว่าบริษัทจะไปรับสินค้าจากโรงงานผู้ผลิตมาโดยตรง
(ซึ่งบอกแล้วว่ามีแทบทุกผลิตภัณฑ์) ในราคา 40%
แล้วก็เอามาขายในราคา 100% เช่นที่เราซื้อจากร้านค้าทั่วไป ...
เงิน 60% ที่เซฟได้นั้นเพราะไม่มีค่ายี่ห้อ ค่าการตลาด โฆษณา
หรือร้านค้าปลีก-ส่ง ต่างๆ...
... ก็จะถูกนำมาแบ่งให้บรรดาเหล่าสมาชิกในอัตราที่บอกไปแล้วนั่นเอง...


แล้วทำไมเราต้องใช้สินค้าของเค้าด้วยล่ะ...
...เพื่อนตอบว่า ถ้ามันถูกกว่าและดีกว่า จะใช้มั้ย...
เค้ายกตัวอย่างสรรพคุณสินค้าต่างๆ ซึ่งเราขอข้ามไป
เพราะหลายๆ คน คงเคยได้ยินมาบ้าง
เช่น ความเข้มข้นมากกว่า ใช้นานกว่า ฯลฯ
โดยกล่าวข้อเสียของผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาดควบคู่ไปด้วย...


คุยกันไปนานเข้า เราก็เริ่มคลายอคติที่มีต่อธุรกิจแบบนี้ลงได้...
ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้ด้วยที่อุตส่าห์เสียเวลามานั่งพูดให้เราฟัง
ทั้งที่รู้ว่าเปล่าประโยชน์ ...


ตลอดการสนทนาเราตั้งข้อสงสัย และแย้งไปหลายอย่างเหมือนกัน...
และนี่แหละเป็นไคลแมกซ์ของกระทู้นี้
หลังจากที่ทำให้ทนอ่านกันมายาวเหยียดเหลือเกิน...


1. ตกลงจุดมุ่งหมายของการทำธุรกิจแบบนี้คืออะไร ...
รวยเหรอ มั่นคงในอาชีพเหรอ
แล้วคนที่ไม่มานั่งฟังอย่างเราล่ะจะไม่เข้าใจผิดตลอดไปเหรอ
ทำไปทำมาเพื่อนก็หนีหมดสิ...

2. บางคนก็ไม่ต้องการความมั่นคงนะ
ในขณะที่บางคนก็ต้องการไม่รู้จบใช่มะ
อันนี้มันไม่จริงเสมอไปนะถ้าจะบอกว่าธุรกิจนี้ในที่สุดแล้วทุกคนต้องทำน่ะ...

3. บางทีการตัดสินใจทำอะไรซักอย่างน่ะ
เราเคยพูดไว้เสมอว่าเราจะคิดนานมาก
เพราะเมื่อเราเริ่มทำแน่ๆ แล้ว
เราจะเหมือนกับมีอะไรอีกอย่างเพิ่มเข้ามาในชีวิตแล้ว
เราต้องให้เวลากับมัน เราต้องคิดถึงมันตลอดชีวิตเลยนะ ...
แล้วไอ้การทำธุรกิจอย่างงี้เนี่ยถ้าเลิกทำในช่วงแรกๆ
ก็กลายเป็นเราเสียรู้บริษัทมันจนได้ใช่มะ...
เราว่ากำไรของบริษัทก็คงมาจากคนที่เลิกๆ ไป นี่ด้วยแหละ

4. ไอ้การเข้าประชุมทุกอาทิตย์ๆ เนี่ย
มันเป็นการชวนเชื่อหรือเปล่า ใช้จิตวิทยารึเปล่า ..
ลองว่าเป็นธุรกิจแล้ว ยังไงมันต้องมีการชักจูงให้เกิดความยึดมั่นอยู่เสมอแหละ...
เผลอๆ จะมีการปลุกระดมด้วยสิ
เห็นว่าใครสมัครแล้วจะมีข้อมูลและการสอนบางอย่างให้ด้วย
มีเอกสารและเทปแจก โดยคนทั่วไปจะไม่มีทางรู้ตรงนั้น...
มีการเอาความฝัน ความทะเยอทะยานของแต่ละคนมาหลอกให้เกิดแรงฮึด
ให้คนทั่วๆ ไปเห็นภาพว่าการประชุมหรูหรา มีการจัดเที่ยวต่างประเทศทุกปี
เจ้าของติดอันดับรวยระดับโลก ...อะไรแบบเนี้ย


ตอนนี้ต้องรีบไปแล้วล่ะ ใครมีความคิดเห็นยังไงก็ว่ามาเลยนะครับ..
เราว่าถ้าเราเรียนจบมาแล้วตกงานก็คงจะทำแหละ.. อะอะ...


ป.ล. ลืมบอกไปนิดหน่อย ... ถามว่าเพื่อนคนนี้ได้เดือนละเท่าไหร่
เค้าบอก เดือนละไม่กี่ร้อยบาทว่ะ...
"เดือนแรกๆ เป็นเดือนแห่งการเรียนรู้" .... (ฮา)



-- เว็บบอร์ด สาธิตปทุมวันรุ่น 41 --
-- กระทู้เดิม 5 มี.ค. 44 --
-- โดย นวย --


ตอนนี้เพื่อนคนที่ว่านี่ไม่พูดถึงธุรกิจนี้อีกเลย...
(ฮา..เหมือนกัน)
นวย 06/10/2002 20:44 
เราก้อพึ่งโดนมาเหมือนกันหว่ะ เราก้อปฏิเสธไปว่าเราไม่สนนะ และยังไม่คิดจะทำอะไรตอนนี้ เราก้อคิดแบบนายหว่ะ ที่ว่า เราจะทำอะไรจะคิดก่อน ว่าทำแล้วมันได้อะไร เราสามารถที่จะทำออกมาได้ดีหรือเปล่า...
เสริม เราได้คุยกับเพื่อนเราที่ทำด้านนี้อยู่ เค้าบอกว่าไม่ชอบ มันเป็นการหากินจากเพื่อนอะ เหมือนกันให้เพื่อนหาเงินให้ เพื่อนคนนี้ดีนะ ไม่มาชวนเพื่อนในกลุ่มเลย

เต้ 07/10/2002 19:11  [ 1 ] 
สามารถใส่ html tag โดยใช้เครื่องหมาย { } แทน < >      
ความเห็น : 
จาก : : รหัส
(อีเมล/เว็บไซต์) : อัพโหลดรูป/ไฟล์
ถ้าไม่มีรหัสประจำตัว กรุณาใส่ "เลขหนึ่งสี่ตัว" ด้วยครับ