ความเดิมตอนที่เกริ่นไปแล้ว ..เหตุเกิดบ่ายวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2551
จู่ๆ ผมกับคุณยุพีก็เกิดอะไรดลใจให้ออกไปไหว้พระ 9 วัดกันแบบฉุกละหุก
จนกระทั่งเรียกได้ว่า ถ้าทำสำเร็จคงเป็นสถิติโลกในเรื่องความเร็วได้เลย
แถมยังมีอุปสรรคหลายประการ ที่ทำให้น่าลุ้นยิ่งขึ้นว่าจะสำเร็จด้วยดีทันเวลาวัดปิดหรือไม่
เช่น ไม่มีรถส่วนตัว ต้องเดิน หรือโดยสารรถประจำทาง-รถรับจ้าง-เรือข้ามฟาก
และก็มีหลายวัดที่ยังไม่เคยไป ไม่รู้จะคลำทางไปถูกหรือไม่ และวางเส้นทางได้ดีที่สุดหรือยัง
นอกจากอุปสรรคแล้วยังไม่หนำใจครับ จึงเพิ่มเงื่อนไขให้ชีวิตมีรสชาติขึ้นอีกหลายอย่าง
- ต้องหยอดกล่องบริจาค และกราบพระประธาน ของทุกๆ วัด
- ต้องเดินหามุมถ่ายรูปในบริเวณวัด โดยงานนี้เปลี่ยนเป็นมุมมองการถ่ายฝีมือยุพีบ้าง
- ต้องไปยืนถ่ายรูปคู่กับป้ายน้ำตาลของ กทม. ที่อยู่หน้าประตูแต่ละวัด ให้รู้ว่ามาถึงแล้ว!
และนี่คือเส้นทางที่วางแผนกัน โดยไม่ได้ดูแผนที่ก่อน เพราะหาเฉพาะหน้าไม่เจอเลย..
1. วัดสระเกศ --> นั่งรถเมล์เข้าบางลำภู --->
2. วัดบวร --> เดิน -->
3. วัดชนะสงคราม
--> ตรงนี้ยังไม่รู้จะไปยังไง (เดิน?) -->
4. วัดสุทัศน์ --> ตรงนี้ก็ไม่รู้เช่นกัน (เดิน?)
-->
5. วัดพระแก้ว --> เดินไปข้ามเรือ -->
6. วัดระฆัง --> นั่งรถเมล์หรือเดิน ..ซักอย่าง
-->
7. วัดอรุณ, 8. วัดกัลยาณ์ (ยังไม่รู้วัดไหนก่อนหลัง) --> ข้ามฟากกลับ -->
9. วัดโพธิ์
ตอนนี้เราผ่านมาได้ด้วยดีถึงครึ่งทางคือวัดพระแก้วแล้วครับ
แต่ก็เริ่มประสบอาการติดขัดอย่างแรกเข้าให้ คือหาป้ายหน้าวัดพระแก้วไม่เจอ..
ซึ่งผมและคุณยุพีก็คงต้องลุยเดินทางกันไปต่อ โดยครึ่งหลังนี่เป็นวัดฝั่งธนบุรีซะส่วนใหญ่
เอาล่ะครับ!.. ไปทัวร์กันได้ละ..
หมายเหตุ: ภาพถ่ายทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือคุณยุพี ที่เพิ่งจับกล้องตัวนี้จริงจังวันแรก..
**********************************************
16:00 หลังจากแวะซื้อน้ำดื่มที่ร้านเซเว่น สาขาหน้าพระลาน (ข้างๆ ม.ศิลปากร)
ก็เดินไปยังเรือข้ามฟาก ที่ท่าช้าง ..ใช้เวลาเดินตั้ง 10 นาทีแน่ะ ไปถึงสี่โมงเย็นพอดี
และพระเจ้าช่วย! เรือมันไม่ยอมรอเราอ่ะ มันออกจากท่าไปต่อหน้าต่อตาเลย
แบบว่าวิ่งกันไปถึงบนโป๊ะแล้วแท้ๆ ..เซ็งเลย ถึงกับต้องโบกมือให้ด้วยความแค้นใจ
เสียเวลารออีก 10 นาที กว่าจะได้ขึ้นเรือและรอให้เรือออก (..ทีงี้ล่ะออกช้าจัง)
16:17 ข้ามมาขึ้นฝั่งที่วัดระฆังเรียบร้อย และรู้สึกเวลาจะเดินเร็วเหลือเกิน
นี่ถ้าวัดท้ายๆ ที่เรายังไปไม่ถึง มีวัดไหนปิดประตูตอน 5 โมงเย็นล่ะก็ เป็นอันจบกัน!
16:30 ด้วยความร่วมมือจากคุณพี่ที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น หรือไม่ก็พี่วินมอ'ไซค์
เราก็หาป้ายสี่เหลี่ยมชื่อวัดได้ไม่ยากเย็นนัก ป้ายมาแอบอยู่ใกล้ท่าน้ำ
ซึ่งถ้าเดินหาเองล่ะก็คงจะเสียเวลาไปอักโขแน่ๆ (แหม่.. ใช้ศัพท์โบราณโคตรๆ)
ในรูปหน้าตาผมจะดูสดชื่นเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าคงจะเก็บอีก 2 วัดที่เหลือฝั่งนี้ได้ทัน
เนื่องจากดูท่าทางยังมีคนมาวัดอยู่พอสมควร คงยังไม่ใกล้เวลาปิดประตูหรอก!
แต่ปัญหาก็คือเราจะเดินทางไปวัดถัดไป คือวัดอรุณ ได้อย่างไร..
ดูแผนที่แล้วไม่แน่ใจว่าอยู่ใกล้ไกลขนาดไหน ถ้าเดินไปอาจทำให้ปฏิบัติการล้มเหลวก็ได้
ถามชาวบ้านบอกให้นั่งตุ๊กตุ๊กไปเลย เราก็เลยโบกตุ๊กตุ๊กที่เข้ามาส่งแม่ค้าตรงท่าน้ำพอดี
พี่ตุ๊กตุ๊กแกไม่ยอม ไม่ใช่ว่าไกล แต่ข้างวัดมีวินประจำอยู่ พี่แกเป็นขาจรจึงรับคนขึ้นไม่ได้
(เฮ้ย.. ^ คนขับกลายเป็นตุ๊กแกไปแล้ว)
รออยู่หลายนาที ก็ไม่เห็นแม้เงาที่ฝากตุ๊กตุ๊กขาจรไปเรียกตุ๊กตุ๊กวินให้เข้ามารับเรา
ผมกับยุพีจึงตกลงใจเดินออกไปดู ถ้าไม่ได้ตุ๊กตุ๊กก็ไปรถเมล์ก็ได้ (ควรจะไปได้แทบทุกสาย)
**********************************************
16:35 แต่แล้วก็เจอวินตุ๊กตุ๊กจอดดักรอนักท่องเที่ยวอยู่กลางซอย
เขาเรียกราคาไปวัดอรุณ 40 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่าเราต้องต่อเหลือ 30 บาท
เพราะดูระยะทางไม่น่าไกลขนาด 40 นะ (คือถ้า 40 ตูนั่งแท๊กซี่ดีกว่า.. ยังไงก็ 35 บาทชัวร์)
ทีแรกพี่แกไม่ยอม ..พลางชี้ให้ดูป้ายและย้ำว่าเป็นราคา fix เพื่อไม่ให้มีปัญหากับผู้โดยสาร
เราสองคน (ซึ่งเห็นป้ายตั้งแต่แรกแล้ว) ก็.. โอเค 30 ไม่ได้ ตูก็ไปขึ้นรถเมล์ตามเดิม
ก็คงเหมือนเทคนิคการซื้อของล่ะครับ เดินจากไปได้ไม่ถึง 5 ก้าว ตุ๊กตุ๊กก็ตะโกนเรียกทันที
16:40 เราเดินทางมาถึงวัดอรุณกันด้วยความรวดเร็ว
ระยะทางที่นั่งมารู้เลยว่ามันไกลอยู่ ถ้าเดินนี่นานเลยอ่ะ คิดถูกแล้วที่ยอมนั่งตุ๊กตุ๊ก
..แต่ถึงระยะทางจะดูไกลยังไง ผมก็ไม่ยอมจ่ายเพิ่มให้เป็น 40 บาท เหมือนเมื่อกลางวันนะ
เพราะสถานการณ์มันผิดกัน คันนั้นเขายอมด้วยความใจดี แต่คันนี้มันดันเอาป้ายมาขู่ตู!
วัดอรุณสวยดีนะ เวลานั้นเป็นจังหวะแดดกำลังสีส้มๆ ทองๆ พอดีเลยด้วย
บริเวณวัดและท่าน้ำ ร่มรื่นมากๆ ..ผมว่าสวยไม่แพ้ตอนมองมาจากฝั่งนู้นเลยล่ะ
ส่วนบรรยากาศในอุโบสถก็แปลกตาดี เพราะไม่มีจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นเรื่องราว
แต่เป็นแพทเทิร์นลายดอกกุหลาบ คล้ายๆ วอลล์เปเปอร์ซะงั้น..
16:59 เพิ่งหาป้ายสี่เหลี่ยมเจอ ใช้เวลาหาถึงสิบนาที สุดท้ายบังเอิญเจอแฮะ
ถามลุงป้าที่เป็นชาวบ้านมาช่วยเก็บกวาดลานวัด ก็เดามั่วอีกต่างหาก ..เกือบหลงแล้วตู!
17:06 หลังจากให้ยุพีถ่ายรูปอยู่พักนึง ก็พบว่าพระปรางค์อันเป็นเอกลักษณ์ของวัดได้ปิดแล้ว
(แต่บริเวณวัดซึ่งมีท่าเรือข้ามไปวัดโพธิ์ได้ด้วยนั้นยังไม่ปิด นั่งเล่นกันได้ถึงค่ำเลยแหละ..)
จึงไม่สามารถ เข้า/ขึ้น ไปเก็บภาพได้ เราสองคนก็ออกเดินทางสู่วัดที่ 8 คือวัดกัลยาณ์ฯ
**********************************************
17:20 เดินมาถึงแล้วครับ.. เดินแบบเรื่อยเปื่อยๆ กินลมชมวิว และแวะถ่ายรูปกันเลย
เพราะถามจากป้าแถวนั้นแล้วเขาบอกว่าวัดน่าจะยังไม่ปิด และสามารถเดินไปได้
ก็เลยเดินลัดเลาะชุมชนตรงนั้น ขึ้นสะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ไปลงอีกฝั่งก็ถึงพอดี
วัดกัลยาณ์เป็นอีกวัดที่ไม่เหมือนวัดอื่นที่เราไปในวันนี้ครับ เพราะเป็นวัดในชุมชนชาวจีน
สถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยนะ (ไม่ใช่วัดจีน) แต่จะมีอะไรจีนๆ ผสมอยู่ด้วย เช่นพระสังกัจจายน์
หรือการที่เรียกพระพุทธรูปประธานของวัดว่าหลวงพ่อโต นี่ก็เห็นได้เฉพาะชุมชนจีนเช่นกัน
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่าวัดกำลังบูรณะครั้งใหญ่ มีการทุบซ่อมแซมเกือบทั่วบริเวณ
ทำให้หามุมถ่ายรูปได้ยาก และหาทางเดินในวัดได้ยาก
(แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพพระช่วยกันกวาดช่วยกันทำ ร่วมกับบรรดาแรงงานก่อสร้างด้วยล่ะ)
ยังดีที่เดินตามป้ายไปก็พบว่าบริเวณพระประธานนั้นไม่ได้ซ่อมแซม ยังปกติดีอยู่
17:31 พระรูปหนึ่งกำลังจะปิดประตูอุโบสถ (แสดงว่าปิด 5 โมงครึ่งนะครับท่านผู้ชม)
เรารีบรุดขอท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโตกันได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด (จริงๆ ไม่ทันต่างหาก)
โชคดีสุดๆ เลยอ่ะ ไม่ทันนึกว่าบริเวณวัดยังไม่ปิดแต่อุโบสถปิดก่อนได้.. อย่าชะล่าใจไป!
(ตอนวัดพระแก้วก็เกือบไม่ได้หยอดตังค์ทีนึงแล้ว ตอนวัดอรุณก็ไม่ทันเข้าชมพระปรางค์)
..รูปพระประธานที่ยุพีกดมาจึงมีสภาพแสงที่แปลกมาก (มีแสงลอดเข้ามาแค่ที่ประตูบานเดียว)
และการหยอดเงินทำบุญก็เกือบไม่ได้ทำ ต้องรีบกราบรีบออก เกรงใจพระท่านกำลังยืนรอ
พอดีเห็นคนซื้อธูปเทียนจากซุ้มของวัด (ที่กำลังจะปิดเช่นกัน) จึงขอหยอดเงินลงกล่องบริจาคด้วย
หยอดไปก็อายไป เพราะสาวซื้อธูปเธอหยอดแบงค์ร้อย แต่เราสองคนนี่หยอดเหรียญดังกร๊องๆๆ
17:50 หลังจากใช้เวลาเดินหาป้ายสี่เหลี่ยมอยู่นาน ถามชาวบ้านก็แล้ว ถามพระก็แล้ว
ก็ยังไม่พบสักที เดินรอบวัดอยู่หลายรอบ เดินทุกซอกทุกมุม (ทั้งๆ ที่ก่อสร้างนี่แหละ)
ก็ตกลงกันว่าเราคงต้องยอมให้ภารกิจถ่ายป้ายล้มเหลวไป 1 อย่างแล้วล่ะ.. หาไม่เจอจริงๆ
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการบูรณะซ่อมแซมด้วยหรือเปล่า เขาอาจถอนป้ายออกชั่วคราวก็ได้นะ
ถ้าจะเดินหาต่อไปก็คงเป็นการใช้เวลาที่ไม่เหมาะสมแล้วล่ะ เพราะเรายังเหลือกันอีกวัดนึง
..จึงรีบมารอเรือข้ามฟาก เพื่อกลับไปวัดโพธิ์โดยด่วนที่สุด เพื่อสิ้นสุดภารกิจวันนี้ให้ทัน
เรือข้ามฟากอยู่ในวัดนี้เช่นกัน (ทั้งสามวัดที่ฝั่งธนฯ นี้ ล้วนมีท่าเรือข้ามฟากอยู่ในบริเวณวัด)
17:58 อื้อหือ.. กว่าเรือจะมา และกว่าเรือจะออก ก็เกือบหกโมงเย็น (ก็เป็นท่าเล็กนี่หน่า)
ถ้าวัดโพธิ์ปิดหกโมงเราก็จบเห่กันเลยนะ ต้องลุ้นให้ปิด 1 ทุ่มเหมือนคราวปีใหม่เท่านั้น!
**********************************************
18:15 หลังจากข้ามเรือมาถึงท่าราชินี (ตรงที่มีคลองและสถานีตำรวจ ข้างโรงเรียนราชินี)
เราก็ใช้เวลาเดินอีก 15 นาที ก็มาถึงประตูเข้าวัดโพธิ์จนได้ (ประตูด้านที่อยู่ใกล้ดันไม่เปิด..)
ถ้าข้ามจากวัดอรุณมาก็คงจะดีเพราะถึงวัดโพธิ์เลย ไม่ต้องเดินไกล คงต้องวางลำดับใหม่ดีๆ อ่ะ
สรุปเส้นทางสุดวกวนที่เราใช้เดินทางกันในวันนี้ ก็เป็นดังแผนที่นี้ครับ..
(สีแดง = เดิน, สีน้ำเงิน = ขนส่งมวลชน, สีเขียว = รถรับจ้าง)
รวมเงินที่ใช้ในการเดินทางจนครบ 9 วัด เฉลี่ยเพียงแค่คนละ 50 บาทเท่านั้นเอง!
(ถ้าจัดลำดับให้ดีขึ้นและมีเวลามากกว่านี้ ก็จะยิ่งถูกลง เพราะไม่จำเป็นต้องนั่งตุ๊กตุ๊กเลย)
แต่! โอ้อนิจจา.. ตรงวิหารพระนอนนั้นประตูปิดแล้วอย่างมิดชิด! วัดโพธิ์ปิด 6 โมงจริงๆ ด้วย!
(ก็เพิ่งมาคิดได้ว่า วัดอะไรจะปิดตั้งทุ่มนึงล่ะว้า.. ยิ่งเป็นวัดในเขตพระราชฐานอีกด้วย)
สรุปว่าเราก็ปฏิบัติการเรื่องกราบพระประธานและหยอดเงินบริจาค ล้มเหลวไปอีกอย่างนึง
ถ้าไม่ใช้เวลาที่วัดที่แล้วนานเกินไป (ทั้งเดินไป, วนหาป้าย, รอเรือข้ามฟาก)
เวลาที่มีก็คงทัน 6 โมงเย็นอย่างเหลือๆ เลยล่ะ เสียดายจริงๆ เล้ย! ..เฮ้อ!
18:24 ยุพีงอแงสุดๆ ไม่ยอมถ่ายรูปที่วัดนี้ต่อแล้ว ทำให้ผมต้องบังคับขู่เข็ญยกใหญ่
แหมอุตส่าห์ถ่ายมาทั้งวันจนจะครบอยู่แล้ว เหลืออีกวัดเดียวเอง จะมาดื้อกันทำไมฟะ
(แต่การที่ยุพีดื้อ ทำให้เลิกคิดไปได้เลยว่าจะยอมเดินหาป้ายวัดพระแก้วกันอีกทีอ่ะ..)
และในเวลาเกือบหกโมงครึ่งนี่เอง ที่ผมมายืนยิ้มแป้นชู 9 นิ้วอยู่ที่ป้ายวัดโพธิ์ อย่างจนใจ
เอาน่า.. วันนี้เป็นแค่ครั้งแรก คิดซะว่ามาเพื่อให้รู้ คราวหลังมาใหม่รับรองทันฉลุยแน่!
อ้อ! ใครจะไปไหว้พระ 9 วัด ก็อย่าลืมตั้งเงื่อนไขสนุกๆ บ้างนะครับ
(แต่ไม่ต้องเยอะขนาดที่ผมกับคุณยุพีไปปฏิบัติการมานี้หรอกนะ)
แล้วที่สำคัญก็คือ อย่าเริ่มตอนบ่ายโมงเด็ดขาดเลยครับ.. แหม! ทำไปได้เนอะ! แหะๆๆ :P
Note: สำหรับท่านที่ยังไม่จุใจครับ
ในช่วงปีใหม่ 2552 ผมได้ไปไหว้พระ 9 วัด และถ่ายรูปด้วยตัวเองอีกสองรอบ
นำมาผสมกลมกลืนกับรูปของยุพี รวมกัน 99 รูป แปะให้รับชมได้ที่เว็บ multiply ครับ
คลิกโลด..
หน้านี้ และ
หน้านี้
==========================================================
จริงอ้ะ! : รูปทั้งหมดถ่ายจากกล้อง Fujifilm S6500fd รุ่นสุดคุ้ม อายุงานประมาณหนึ่งปี
แต่หากเราแปลงรหัสกระทู้ 508 ให้เป็นตัวย่อสองตัวแรกตามเสียงอ่าน จะบังเอิญได้ FZ8
ซึ่งเป็นรุ่นของกล้อง Panasonic และเป็นหนึ่งในคู่แข่งของ S6500fd เมื่อปีที่แล้วล่ะเออ.. |
นวย
หลังจากเรียกชื่อสิ่งปลูกสร้างในวัดตามใจอยู่นาน ไม่รู้ว่าเรียกผิดเรียกถูกไปกี่ครั้งบ้าง
วันนี้ผมก็เพิ่งมาเข้าใจความหมายของโบสถ์ วิหาร อุโบสถ ปรางค์ ฯลฯ
โดยเรียบเรียงข้อมูลมาจากพจนานุกรม และตำราเรียนทางสถาปัตย์ (ออนไลน์) ครับ
1. สิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายห้องโถง
1.1
อุโบสถ = ห้องประกอบพิธีกรรมภายในหมู่สงฆ์ ..ชาวบ้านมักเรียกย่อๆ ว่า
โบสถ์
(เออนะ ไม่ยักสังเกตมาก่อนว่าสองคำนี้สะกดเหมือนกันเลยจริงๆ)
รอบอุโบสถจะมี
ใบเสมา (หรือ
พุทธสีมา) ทำจากแท่งหิน วางไว้เป็นเครื่องหมายบอกเขต
1.2
วิหาร = ห้องประดิษฐานพระพุทธรูปใหญ่ เช่น วิหารพระไสยาสน์ (พระนอน)
และใช้ประกอบพิธีกรรมร่วมกันระหว่างสงฆ์กับฆราวาส เช่น งานบุญ กฐิน ผ้าป่า
แต่มีความหมายค่อนไปในเชิง "กุฏิของพระพุทธรูป (ที่เป็นพระประธานของวัด)" ซะมากกว่า
(จุดสังเกตคือรอบวิหารจะไม่มีใบเสมา นอกนั้นรายละเอียดแทบไม่ต่างจากอุโบสถ)
1.3
มณฑป = เรือนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (หรืออาจมีการย่อมุมก็ได้) มีฝาผนัง แต่อาจไม่มีหน้าต่าง
หลังคาทรงพีระมิดฐานสี่เหลี่ยม ยอดแหลมตรงกลาง ซ้อนลดหลั่นกันหลายชั้น
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่มาก เสมือนเป็นการจำลองกุฏิพระพุทธเจ้า
(จะไม่ได้ใช้ประกอบพิธีกรรมใดๆ และจะไม่ค่อยมีพื้นที่ว่างเหลือเท่าไรด้วย)
1.4
บุษบก = หน้าตาเหมือนมณฑป แต่จำลองขนาดลงมาเล็กๆ และไม่มีฝาผนัง
พระสงฆ์สามารถเข้าไปนั่งเทศน์ได้ทีละ 1 รูปเท่านั้น หรือกษัตริย์เสด็จขึ้นประทับก็ได้
(จะเรียกว่า
ธรรมาสบุษบก หรือ
พระที่นั่ง ตามลำดับ)
2. สิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นที่รำลึก
2.1
เจดีย์ = สิ่งก่อสร้างรูปทรงคล้ายกรวย มียอดแหลม ภายในบรรจุสิ่งที่นับถือ
ซึ่งถ้าเจดีย์นั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จะเรียกได้ว่า
สถูป ด้วย
2.2
ปรางค์ = สิ่งก่อสร้างคล้ายเจดีย์ มีจุดประสงค์เดียวกัน แต่รูปทรงจะเป็นแบบฝักข้าวโพด
และบนยอดปรางค์จะมีเครื่องประดับคล้ายหอกที่มีกิ่งๆ (เรียกว่า ฝักเพกา)
นวย